เรื่องป่า
๓ อย่าง คือ ไม้ฟืน ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน..ประชาชนมีความรู้
ทั้งคนที่อยู่บนภูเขาที่คนที่อยู่ในที่ราบเขามีความรู้
เขาทำงานมาตั้งหลายชั่วคนแล้ว เขาทำกันอย่างดี เขามีความเฉลียวฉลาด
เขารู้ว่าตรงไหนควรจะทำกสิกรรม เขารู้ว่าที่ไหนควรจะเก็บไม้ไว้ แต่ว่าที่เสียไปเพราะว่าพวกที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ทำมานานแล้ว
ทิ้งมานานแล้ว ทิ้งกสิกรรมมานานแล้ว ก็ไม่รู้เรื่อง
แล้วก็มาอยู่ในที่ที่มีความสะดวก
ก็เลยทำให้ลืมว่าชีวิตมันเป็นไปได้โดยที่ทำกสิกรรมที่ถูกต้อง..."
พระบรมราโชวาท
พระราชทานในวันเปิดการสัมมนาการเกษตรภาคเหนือ
ณ
สำนักงานเกษตรภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
๒๖
กุมภาพันธ์

ความทั่วไป
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษยชาติมากมายหลายประการ นับตั้งแต่รักษาดุลธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่แปรปรวน รักษาต้นน้ำลำธาร พันธุ์พฤกษชาติและสัตว์ชาติ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพการทำไม้ การเก็บหาของป่า การขนส่ง การอุตสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่า ตลอดจนการส่งจำหน่ายเป็นรายได้แก่ประชาชนและประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษยชาติมากมายหลายประการ นับตั้งแต่รักษาดุลธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่แปรปรวน รักษาต้นน้ำลำธาร พันธุ์พฤกษชาติและสัตว์ชาติ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพการทำไม้ การเก็บหาของป่า การขนส่ง การอุตสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่า ตลอดจนการส่งจำหน่ายเป็นรายได้แก่ประชาชนและประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
แต่ในสภาพปัจจุบัน
ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน
ลักลอบตัดไม้เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและเผาถ่าน นอกจากนั้นแล้ว
การเร่งรัดการดำเนินงานบางโครงการ เช่น ก่อสร้างถนน สร้างเขื่อน เป็นต้น
มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
มีผลให้ป่าไม้ของประเทศไทยในปัจจุบันมีเนื้อที่ลดลง
และบางแห่งอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงทราบถึงปัญหาด้านนี้ ได้มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปรับปรุง
และทรงพัฒนาป่าไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเช่นในอดีต
เพื่อเป็นการยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนถ้วนหน้า
ดังแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาป่าไม้ เมื่อ พ.ศ.2523 ดังนี้
"...แต่ป่าไม้ที่ปลูกนั้น
สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำกรับใช้ผลหนึ่ง
ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้างๆ ใหญ่ๆ การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้
ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้ รู้สึกว่าจะไม่ใช่ป่าไม้เป็นสวนหรือจะเป็นสวนมากกว่าเป็นป่าไม้
แต่ในความหมายของการช่วยเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น
ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม
นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่าคือเป็นต้นไม้
และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้..."
ซึ่งพระราชดำรัสนี้
เป็นที่มาของสำนวนที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องนิยมใช้คือ " ไม้ 3 อย่าง"

ปัญหาด้านป่าไม้
สัดส่วนของพื้นที่ป่าไม้ที่เหมาะสมต่อการรักษาดุลย์ธรรมชาติในความเห็นของนักวิชาการ
ควรมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดทั่วประเทศ
ส่วนในกรณีของประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเช่นเช่นนี้ พื้นที่ป่าไม้อาจจะลดลงไปได้บ้าง
รัฐบาลได้มีนโยบายกำหนดพื้นที่ป่าไม้ให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมีหลักเกณในการแบ่งพื้นที่ป่าไม้ออกเป็น 2
ประเภท คือ
- ป่าเพื่อเศรษฐกิจ
กำหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 25
ของพื้นที่ทั้งประเทศ
- ป่าเพื่อการอนุรักษ์
กำหนดไว้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ป่าที่หายาก
และป้องกันภัยธรรมชาติอันจะเกิดจากน้ำท่วม และการพังทลายของดิน
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และนันทนาการของประชาชน ในอัตราร้อยละ 15
ของพื้นที่ทั้งประเทศ
แต่ในสภาพข้อเท็จจริงจากการสำรวจพื้นที่ป้าไม้ของประเทศไทย
โดยภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2504 เปรียบเทียบกับการสำรวจโดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT ปี พ.ศ. 2525 ปรากฏว่าเนื้อที่ป่าไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว
และในปัจจุบันลดลงอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมต่อการักษาสมดุลธรรมชาตินัก โดยลดลงจาก 171 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 53 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี
พ.ศ.2504 เหลือเพียง 98 ล้านไร่
หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 30 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี พ.ศ.2525
ซึ่งแสดงว่าภายในระยะเวลาเพียง 21 ปีที่ผ่านมา
เนื้อที่ป่าไม้ได้ลดลงถึง 73 ล้านไร่
หรือคิดเป็นอัตราลดลงโดยเฉลี่ย 3.5 ล้านไร่ต่อปี
และในระหว่างปี พ.ศ.2525 -2528 มีการบุกรุกทำลายป่า 4.7 ล้านไร่ อัตราเฉลี่ย 1.5
ล้านไร่ต่อปี
โดยพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ
ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกของประเทศ
พื้นที่ที่ถูกบุกรุกซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการจับจองไว้เพื่อการทำไร่เลื่อนลอย
การทำไร่ถาวร เพราะการทำไร่นั้นเป็นการตัดต้นไม้ทุกขนาดในพื้นที่ลงจนหมดสิ้น
แล้วทำการเก็บริบสุมเผาให้เป็นเถ้าถ่าน
เมื่อฝนตกน้ำฝนจะไหลบ่าชะหน้าดินซึ่งอุดมสมบูรณ์ลงมายังที่ราบลุ่มเป็นเหตุให้แม่น้ำลำธารตื้นเขิน
และนำไปสู่การกัดเซาะดินเป็นการทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา
ทั้งยังทำให้ชาวไร่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ปุ๋ยเพราะหน้าดินถูกชะล้าง
จนขาดความสมบูรณ์ ตะกอนซึ่งเกิดจากการกัดเซาะทำให้อายุการใช้งานของเขื่อนต่างๆ
ลดน้อยลงกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
อย่างที่ไม่สามารถนำรายได้จากพืชไร่มาเปรียบเทียบได้ ปัญหาการบุกทำลายป่าไม้นั้น อาจสรุปได้ว่าเกิดจากความยากจน
ความรู้เท่าไม่ถึงการของราษฎรและความต้องการที่ดินเพื่อปลูกพืชทางการเกษตร
ในขณะที่การบุกรุกทำลายป่าไม้มีอัตราสูง
แต่การส่งเสริมการปลูกป่าทดแทนป่าที่ถูกทำลายไปนั้น
ดำเนินการได้ในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามาก กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี พ.ศ.2529
ปลูกป่าได้เพียง 3.54 ล้านไร่

แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
หรือทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งใด
ซึ่งควรที่จะแก้ไขปรับปรุงพัฒนาให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ก็จะทรงพิจารณาหาทางช่วยเหลือโดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
สำหรับพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
พอที่จะสรุปแนวพระราชดำริได้ดังต่อไปนี้
1.
แนวพระราชดำริในด้านการปลูกป่าทดแทน
1.1
ปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกแผ้วถาง
และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
1.2
ปลูกป่าเนื่องจากพื้นที่ป่าตามบริเวณอ่างเก็บน้ำหรือเหนืออ่างเก็บน้ำไม่มีความชุ่มชื้นยาวนานพอ
1.3
ปลูกป่าบนเขาสูง เนื่องจากสภาพป่าบนที่เขาสูงทรุดโทรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำตอนล่าง
1.4
ปลูกป่าเพื่อพัฒนาลุ่มน้ำและแหล่งน้ำให้มีน้ำสะอาดบริโภค
1.5
ปลูกป่าเพื่อให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น
โดยใช้ราษฎรในท้องที่นั้นๆ
และเป็นการสร้างความเข้าใจให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการปลูกป่า
1.6
ปลูกป่าเสริมธรรมชาติ เป็นการเพิ่มที่อยู่อาศัยแก่สัตว์ป่า
2.
แนวพระราชดำริในด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
(สัตว์ป่าและวนอุทยาน)
2.1
ให้มีการสงวนพันธุ์สัตว์ป่าและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางชนิดที่หายาก
และกำลังจะสูญพันธุ์
2.2
จัดให้ดำเนินการเกี่ยวกับสวนสัตว์เปิด
เพื่อเป็นที่ให้ประชาชนได้เข้าไปเที่ยวชม
พร้อมทั้งส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นอาชีพ
3.
แนวพระราชดำริในด้านการจัดพื้นที่ทำกิน
3.1
สร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กแล้ว
จึงให้มีการขยายพื้นที่ทำกิน หรือจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรทั้งชาวไทยภูเขา
และชาวไทยพื้นราบ
3.2
จัดที่ทำกินให้ราษฎรแล้ว
ยังต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งสิ่งแวดล้อม บริเวณใกล้เคียง เช่น
มีการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม และการจัดน้ำบริโภค เป็นต้น
3.3
ฝึกอาชีพให้ราษฎรสามารถช่วยตัวเองได้
และทำกินให้เป็นหลักแหล่ง เลิกตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น
3.4
จัดระเบียบหมู่บ้านในรูปสหกรณ์
พร้อมทั้งทำการพัฒนาหมู่บ้านในลักษณะโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง
เพื่อให้สามารถควบคุมราษฎร ไม่ให้บุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์
3.5
จำแนกสมรรถนะของที่ดินให้เหมาะสม
ที่ดินที่สามารถทำประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้ ก็ให้ใช้ทำเกษตรกรรม
และพื้นที่ใดที่ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ ก็ให้มีการรักษาสภาพป่าไว้
โดยให้มีการปลูกป่าไม้ 3 ชนิด ได้แก่ ไม้สำหรับใช้สอย ไม้ผล
และไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง
4.
แนวพระราชดำริในด้านการพัฒนาวิจัยด้านป่าไม้
4.1
ดำเนินการศึกษาวิจัยด้านป่าไม้ ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น
4.2
ทำการศึกษาพัฒนาและวิจัยความสัมพันธ์ของป่าไม้กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
เช่น ป่าไม้/ประมง ในพื้นที่ป่าชายเลน การพัฒนาด้านชลประทานเกี่ยวกับป่าไม้
โดยการจ่ายน้ำตามแหล่งน้ำในช่วงฤดูร้อน (แล้ง) เพื่อให้มีความชุ่มชื้น
และทำให้ป่าต้นน้ำลำธารมีความชุ่มชื้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี
และปลูกไม้พื้นล่างเสริมเพื่อช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำในฤดูฝน
4.3
ศึกษาเกี่ยวกบการป้องกันไฟป่า โดยใช้ระบบเปียก (ความชื้น)
เป็นต้น
แหล่งที่มา:http://www.rspg.or.th/special_articles/hm_king60/king_605.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น