วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้



เรื่องป่า ๓ อย่าง คือ ไม้ฟืน ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน..ประชาชนมีความรู้ ทั้งคนที่อยู่บนภูเขาที่คนที่อยู่ในที่ราบเขามีความรู้ เขาทำงานมาตั้งหลายชั่วคนแล้ว เขาทำกันอย่างดี เขามีความเฉลียวฉลาด เขารู้ว่าตรงไหนควรจะทำกสิกรรม เขารู้ว่าที่ไหนควรจะเก็บไม้ไว้ แต่ว่าที่เสียไปเพราะว่าพวกที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ทำมานานแล้ว ทิ้งมานานแล้ว ทิ้งกสิกรรมมานานแล้ว ก็ไม่รู้เรื่อง แล้วก็มาอยู่ในที่ที่มีความสะดวก ก็เลยทำให้ลืมว่าชีวิตมันเป็นไปได้โดยที่ทำกสิกรรมที่ถูกต้อง..."
พระบรมราโชวาท
พระราชทานในวันเปิดการสัมมนาการเกษตรภาคเหนือ
ณ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
๒๖ กุมภาพันธ์
 
ความทั่วไป
         ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษยชาติมากมายหลายประการ นับตั้งแต่รักษาดุลธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่แปรปรวน รักษาต้นน้ำลำธาร พันธุ์พฤกษชาติและสัตว์ชาติ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพการทำไม้ การเก็บหาของป่า การขนส่ง การอุตสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่า ตลอดจนการส่งจำหน่ายเป็นรายได้แก่ประชาชนและประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
          แต่ในสภาพปัจจุบัน ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน ลักลอบตัดไม้เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและเผาถ่าน นอกจากนั้นแล้ว การเร่งรัดการดำเนินงานบางโครงการ เช่น ก่อสร้างถนน สร้างเขื่อน เป็นต้น มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีผลให้ป่าไม้ของประเทศไทยในปัจจุบันมีเนื้อที่ลดลง และบางแห่งอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงปัญหาด้านนี้ ได้มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปรับปรุง และทรงพัฒนาป่าไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเช่นในอดีต เพื่อเป็นการยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนถ้วนหน้า ดังแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาป่าไม้ เมื่อ พ.ศ.2523 ดังนี้
          "...แต่ป่าไม้ที่ปลูกนั้น สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำกรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้างๆ ใหญ่ๆ  การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้ รู้สึกว่าจะไม่ใช่ป่าไม้เป็นสวนหรือจะเป็นสวนมากกว่าเป็นป่าไม้ แต่ในความหมายของการช่วยเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่าคือเป็นต้นไม้ และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้..."

          ซึ่งพระราชดำรัสนี้ เป็นที่มาของสำนวนที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องนิยมใช้คือ " ไม้ 3 อย่าง"



     ปัญหาด้านป่าไม้
          สัดส่วนของพื้นที่ป่าไม้ที่เหมาะสมต่อการรักษาดุลย์ธรรมชาติในความเห็นของนักวิชาการ ควรมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดทั่วประเทศ ส่วนในกรณีของประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเช่นเช่นนี้  พื้นที่ป่าไม้อาจจะลดลงไปได้บ้าง รัฐบาลได้มีนโยบายกำหนดพื้นที่ป่าไม้ให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมีหลักเกณในการแบ่งพื้นที่ป่าไม้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
          - ป่าเพื่อเศรษฐกิจ กำหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
          - ป่าเพื่อการอนุรักษ์ กำหนดไว้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ป่าที่หายาก และป้องกันภัยธรรมชาติอันจะเกิดจากน้ำท่วม และการพังทลายของดิน ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และนันทนาการของประชาชน ในอัตราร้อยละ 15 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
แต่ในสภาพข้อเท็จจริงจากการสำรวจพื้นที่ป้าไม้ของประเทศไทย โดยภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2504 เปรียบเทียบกับการสำรวจโดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT  ปี พ.ศ. 2525 ปรากฏว่าเนื้อที่ป่าไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว และในปัจจุบันลดลงอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมต่อการักษาสมดุลธรรมชาตินัก โดยลดลงจาก 171 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 53 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี พ.ศ.2504 เหลือเพียง 98 ล้านไร่ หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 30 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี พ.ศ.2525 ซึ่งแสดงว่าภายในระยะเวลาเพียง 21 ปีที่ผ่านมา เนื้อที่ป่าไม้ได้ลดลงถึง 73 ล้านไร่ หรือคิดเป็นอัตราลดลงโดยเฉลี่ย 3.5 ล้านไร่ต่อปี และในระหว่างปี พ.ศ.2525 -2528 มีการบุกรุกทำลายป่า  4.7 ล้านไร่  อัตราเฉลี่ย 1.5 ล้านไร่ต่อปี โดยพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน  และภาคตะวันออกของประเทศ พื้นที่ที่ถูกบุกรุกซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการจับจองไว้เพื่อการทำไร่เลื่อนลอย การทำไร่ถาวร เพราะการทำไร่นั้นเป็นการตัดต้นไม้ทุกขนาดในพื้นที่ลงจนหมดสิ้น แล้วทำการเก็บริบสุมเผาให้เป็นเถ้าถ่าน เมื่อฝนตกน้ำฝนจะไหลบ่าชะหน้าดินซึ่งอุดมสมบูรณ์ลงมายังที่ราบลุ่มเป็นเหตุให้แม่น้ำลำธารตื้นเขิน และนำไปสู่การกัดเซาะดินเป็นการทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา ทั้งยังทำให้ชาวไร่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ปุ๋ยเพราะหน้าดินถูกชะล้าง จนขาดความสมบูรณ์ ตะกอนซึ่งเกิดจากการกัดเซาะทำให้อายุการใช้งานของเขื่อนต่างๆ ลดน้อยลงกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล อย่างที่ไม่สามารถนำรายได้จากพืชไร่มาเปรียบเทียบได้ ปัญหาการบุกทำลายป่าไม้นั้น  อาจสรุปได้ว่าเกิดจากความยากจน ความรู้เท่าไม่ถึงการของราษฎรและความต้องการที่ดินเพื่อปลูกพืชทางการเกษตร ในขณะที่การบุกรุกทำลายป่าไม้มีอัตราสูง แต่การส่งเสริมการปลูกป่าทดแทนป่าที่ถูกทำลายไปนั้น ดำเนินการได้ในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามาก กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี พ.ศ.2529 ปลูกป่าได้เพียง 3.54 ล้านไร่


 แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
          จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งใด ซึ่งควรที่จะแก้ไขปรับปรุงพัฒนาให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ก็จะทรงพิจารณาหาทางช่วยเหลือโดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
          สำหรับพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ พอที่จะสรุปแนวพระราชดำริได้ดังต่อไปนี้
          1.  แนวพระราชดำริในด้านการปลูกป่าทดแทน
          1.1  ปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกแผ้วถาง และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
          1.2  ปลูกป่าเนื่องจากพื้นที่ป่าตามบริเวณอ่างเก็บน้ำหรือเหนืออ่างเก็บน้ำไม่มีความชุ่มชื้นยาวนานพอ
          1.3  ปลูกป่าบนเขาสูง เนื่องจากสภาพป่าบนที่เขาสูงทรุดโทรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำตอนล่าง
          1.4  ปลูกป่าเพื่อพัฒนาลุ่มน้ำและแหล่งน้ำให้มีน้ำสะอาดบริโภค
          1.5  ปลูกป่าเพื่อให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้ราษฎรในท้องที่นั้นๆ และเป็นการสร้างความเข้าใจให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการปลูกป่า
          1.6  ปลูกป่าเสริมธรรมชาติ เป็นการเพิ่มที่อยู่อาศัยแก่สัตว์ป่า
         2.  แนวพระราชดำริในด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ (สัตว์ป่าและวนอุทยาน)
          2.1  ให้มีการสงวนพันธุ์สัตว์ป่าและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางชนิดที่หายาก และกำลังจะสูญพันธุ์
          2.2  จัดให้ดำเนินการเกี่ยวกับสวนสัตว์เปิด เพื่อเป็นที่ให้ประชาชนได้เข้าไปเที่ยวชม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นอาชีพ
          3.  แนวพระราชดำริในด้านการจัดพื้นที่ทำกิน
          3.1  สร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กแล้ว จึงให้มีการขยายพื้นที่ทำกิน หรือจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรทั้งชาวไทยภูเขา และชาวไทยพื้นราบ
          3.2  จัดที่ทำกินให้ราษฎรแล้ว ยังต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งสิ่งแวดล้อม บริเวณใกล้เคียง เช่น มีการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม และการจัดน้ำบริโภค เป็นต้น
          3.3  ฝึกอาชีพให้ราษฎรสามารถช่วยตัวเองได้ และทำกินให้เป็นหลักแหล่ง เลิกตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น
          3.4  จัดระเบียบหมู่บ้านในรูปสหกรณ์ พร้อมทั้งทำการพัฒนาหมู่บ้านในลักษณะโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง เพื่อให้สามารถควบคุมราษฎร ไม่ให้บุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์
          3.5  จำแนกสมรรถนะของที่ดินให้เหมาะสม ที่ดินที่สามารถทำประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้ ก็ให้ใช้ทำเกษตรกรรม และพื้นที่ใดที่ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ ก็ให้มีการรักษาสภาพป่าไว้ โดยให้มีการปลูกป่าไม้ 3 ชนิด ได้แก่ ไม้สำหรับใช้สอย ไม้ผล และไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง
          4.  แนวพระราชดำริในด้านการพัฒนาวิจัยด้านป่าไม้
          4.1  ดำเนินการศึกษาวิจัยด้านป่าไม้  ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น
          4.2  ทำการศึกษาพัฒนาและวิจัยความสัมพันธ์ของป่าไม้กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ป่าไม้/ประมง ในพื้นที่ป่าชายเลน การพัฒนาด้านชลประทานเกี่ยวกับป่าไม้ โดยการจ่ายน้ำตามแหล่งน้ำในช่วงฤดูร้อน (แล้ง) เพื่อให้มีความชุ่มชื้น และทำให้ป่าต้นน้ำลำธารมีความชุ่มชื้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี และปลูกไม้พื้นล่างเสริมเพื่อช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำในฤดูฝน
          4.3  ศึกษาเกี่ยวกบการป้องกันไฟป่า โดยใช้ระบบเปียก (ความชื้น) เป็นต้น

แหล่งที่มา:http://www.rspg.or.th/special_articles/hm_king60/king_605.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น