วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ยูเอ็นเตือน 'เอลนีโญ' มีโอกาสเกิดช่วงสิ้นปีนี้

สหประชาชาติเตือนเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้เกิดอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงไปทั่วโลก มีโอกาสจะเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกช่วงสิ้นปีนี้ หรืออาจเกิดภายในไม่กี่สัปดาห์นี้
    องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) องค์การหนึ่งของสหประชาชาติเผยว่า โอกาสที่เอลนีโญจะเกิดขึ้นมี 80% ระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนปีนี้ และมีโอกาส 60% ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม

     ปรากฏการณ์เอลนีโญก่อให้เกิดความแปรปรวนของอากาศ ส่งผลให้เกิดทั้งความแห้งแล้งและฝนตกหนักไปทั่วโลก โดยเกิดขึ้นทุก 2-7 ปี เป็นผลจากลมสินค้าที่เคลื่อนตัวบริเวณผิวน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตร้อนชื้นอ่อนกำลังลง ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน 2552-พฤษภาคม 2553 สร้างหายนะกับเกษตรกรและตลาดทางการเกษตรทั่วโลก
    ผลจากเอลนีโญทำให้อินเดีย, อินโดนีเซียและออสเตรเลียต้องเผชิญกับภาวะแห้งแล้ง และเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่าและมีผลผลิตทางการเกษตรน้อยลง ส่วนด้านตะวันออกของแปซิฟิกและในอเมริกาใต้เกิดฝนตกหนักจนทำให้เกิดอุทกภัยและดินถล่ม
    ขณะนี้อินโดนีเซียกังวลในเรื่องภาวะแห้งแล้งซึ่งอาจทำให้เกิดไฟป่าจากการถางและเผาผืนดิน เดือนมิถุนายนปีก่อนเกิดไฟป่าบนเกาะสุมาตราตะวันตกทำให้มีหมอกควันไปทั่วประเทศแถบอาเซียน โดยเฉพาะสิงคโปร์และมาเลเซียได้รับผลกระทบมาก
    มิเชล จาร์โรด์ เลขาธิการดับเบิลยูเอ็มโอ กล่าวว่า "ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเข้าใจเอลนีโญเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เรามีองค์ความรู้ที่จะพัฒนาไปสู่การให้บริการพยากรณ์อากาศกับสังคมได้ การเตือนล่วงหน้าเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกมีเวลาที่จะวางแผนรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งในเรื่องการเกษตร, การจัดการน้ำ, สาธารณสุขและด้านอื่นๆ ที่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ.




แหล่งที่มา  :  http://www.thaipost.net/news/270614/92307

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้



เรื่องป่า ๓ อย่าง คือ ไม้ฟืน ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน..ประชาชนมีความรู้ ทั้งคนที่อยู่บนภูเขาที่คนที่อยู่ในที่ราบเขามีความรู้ เขาทำงานมาตั้งหลายชั่วคนแล้ว เขาทำกันอย่างดี เขามีความเฉลียวฉลาด เขารู้ว่าตรงไหนควรจะทำกสิกรรม เขารู้ว่าที่ไหนควรจะเก็บไม้ไว้ แต่ว่าที่เสียไปเพราะว่าพวกที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ทำมานานแล้ว ทิ้งมานานแล้ว ทิ้งกสิกรรมมานานแล้ว ก็ไม่รู้เรื่อง แล้วก็มาอยู่ในที่ที่มีความสะดวก ก็เลยทำให้ลืมว่าชีวิตมันเป็นไปได้โดยที่ทำกสิกรรมที่ถูกต้อง..."
พระบรมราโชวาท
พระราชทานในวันเปิดการสัมมนาการเกษตรภาคเหนือ
ณ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
๒๖ กุมภาพันธ์
 
ความทั่วไป
         ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษยชาติมากมายหลายประการ นับตั้งแต่รักษาดุลธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่แปรปรวน รักษาต้นน้ำลำธาร พันธุ์พฤกษชาติและสัตว์ชาติ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพการทำไม้ การเก็บหาของป่า การขนส่ง การอุตสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่า ตลอดจนการส่งจำหน่ายเป็นรายได้แก่ประชาชนและประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
          แต่ในสภาพปัจจุบัน ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน ลักลอบตัดไม้เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและเผาถ่าน นอกจากนั้นแล้ว การเร่งรัดการดำเนินงานบางโครงการ เช่น ก่อสร้างถนน สร้างเขื่อน เป็นต้น มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีผลให้ป่าไม้ของประเทศไทยในปัจจุบันมีเนื้อที่ลดลง และบางแห่งอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงปัญหาด้านนี้ ได้มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปรับปรุง และทรงพัฒนาป่าไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเช่นในอดีต เพื่อเป็นการยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนถ้วนหน้า ดังแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาป่าไม้ เมื่อ พ.ศ.2523 ดังนี้
          "...แต่ป่าไม้ที่ปลูกนั้น สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำกรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้างๆ ใหญ่ๆ  การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้ รู้สึกว่าจะไม่ใช่ป่าไม้เป็นสวนหรือจะเป็นสวนมากกว่าเป็นป่าไม้ แต่ในความหมายของการช่วยเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่าคือเป็นต้นไม้ และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้..."

          ซึ่งพระราชดำรัสนี้ เป็นที่มาของสำนวนที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องนิยมใช้คือ " ไม้ 3 อย่าง"



     ปัญหาด้านป่าไม้
          สัดส่วนของพื้นที่ป่าไม้ที่เหมาะสมต่อการรักษาดุลย์ธรรมชาติในความเห็นของนักวิชาการ ควรมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดทั่วประเทศ ส่วนในกรณีของประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเช่นเช่นนี้  พื้นที่ป่าไม้อาจจะลดลงไปได้บ้าง รัฐบาลได้มีนโยบายกำหนดพื้นที่ป่าไม้ให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมีหลักเกณในการแบ่งพื้นที่ป่าไม้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
          - ป่าเพื่อเศรษฐกิจ กำหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
          - ป่าเพื่อการอนุรักษ์ กำหนดไว้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ป่าที่หายาก และป้องกันภัยธรรมชาติอันจะเกิดจากน้ำท่วม และการพังทลายของดิน ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และนันทนาการของประชาชน ในอัตราร้อยละ 15 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
แต่ในสภาพข้อเท็จจริงจากการสำรวจพื้นที่ป้าไม้ของประเทศไทย โดยภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2504 เปรียบเทียบกับการสำรวจโดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT  ปี พ.ศ. 2525 ปรากฏว่าเนื้อที่ป่าไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว และในปัจจุบันลดลงอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมต่อการักษาสมดุลธรรมชาตินัก โดยลดลงจาก 171 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 53 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี พ.ศ.2504 เหลือเพียง 98 ล้านไร่ หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 30 ของเนื้อที่ทั้งประเทศในปี พ.ศ.2525 ซึ่งแสดงว่าภายในระยะเวลาเพียง 21 ปีที่ผ่านมา เนื้อที่ป่าไม้ได้ลดลงถึง 73 ล้านไร่ หรือคิดเป็นอัตราลดลงโดยเฉลี่ย 3.5 ล้านไร่ต่อปี และในระหว่างปี พ.ศ.2525 -2528 มีการบุกรุกทำลายป่า  4.7 ล้านไร่  อัตราเฉลี่ย 1.5 ล้านไร่ต่อปี โดยพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน  และภาคตะวันออกของประเทศ พื้นที่ที่ถูกบุกรุกซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการจับจองไว้เพื่อการทำไร่เลื่อนลอย การทำไร่ถาวร เพราะการทำไร่นั้นเป็นการตัดต้นไม้ทุกขนาดในพื้นที่ลงจนหมดสิ้น แล้วทำการเก็บริบสุมเผาให้เป็นเถ้าถ่าน เมื่อฝนตกน้ำฝนจะไหลบ่าชะหน้าดินซึ่งอุดมสมบูรณ์ลงมายังที่ราบลุ่มเป็นเหตุให้แม่น้ำลำธารตื้นเขิน และนำไปสู่การกัดเซาะดินเป็นการทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา ทั้งยังทำให้ชาวไร่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ปุ๋ยเพราะหน้าดินถูกชะล้าง จนขาดความสมบูรณ์ ตะกอนซึ่งเกิดจากการกัดเซาะทำให้อายุการใช้งานของเขื่อนต่างๆ ลดน้อยลงกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล อย่างที่ไม่สามารถนำรายได้จากพืชไร่มาเปรียบเทียบได้ ปัญหาการบุกทำลายป่าไม้นั้น  อาจสรุปได้ว่าเกิดจากความยากจน ความรู้เท่าไม่ถึงการของราษฎรและความต้องการที่ดินเพื่อปลูกพืชทางการเกษตร ในขณะที่การบุกรุกทำลายป่าไม้มีอัตราสูง แต่การส่งเสริมการปลูกป่าทดแทนป่าที่ถูกทำลายไปนั้น ดำเนินการได้ในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามาก กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี พ.ศ.2529 ปลูกป่าได้เพียง 3.54 ล้านไร่


 แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
          จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งใด ซึ่งควรที่จะแก้ไขปรับปรุงพัฒนาให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ก็จะทรงพิจารณาหาทางช่วยเหลือโดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
          สำหรับพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ พอที่จะสรุปแนวพระราชดำริได้ดังต่อไปนี้
          1.  แนวพระราชดำริในด้านการปลูกป่าทดแทน
          1.1  ปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกแผ้วถาง และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
          1.2  ปลูกป่าเนื่องจากพื้นที่ป่าตามบริเวณอ่างเก็บน้ำหรือเหนืออ่างเก็บน้ำไม่มีความชุ่มชื้นยาวนานพอ
          1.3  ปลูกป่าบนเขาสูง เนื่องจากสภาพป่าบนที่เขาสูงทรุดโทรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำตอนล่าง
          1.4  ปลูกป่าเพื่อพัฒนาลุ่มน้ำและแหล่งน้ำให้มีน้ำสะอาดบริโภค
          1.5  ปลูกป่าเพื่อให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้ราษฎรในท้องที่นั้นๆ และเป็นการสร้างความเข้าใจให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการปลูกป่า
          1.6  ปลูกป่าเสริมธรรมชาติ เป็นการเพิ่มที่อยู่อาศัยแก่สัตว์ป่า
         2.  แนวพระราชดำริในด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ (สัตว์ป่าและวนอุทยาน)
          2.1  ให้มีการสงวนพันธุ์สัตว์ป่าและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางชนิดที่หายาก และกำลังจะสูญพันธุ์
          2.2  จัดให้ดำเนินการเกี่ยวกับสวนสัตว์เปิด เพื่อเป็นที่ให้ประชาชนได้เข้าไปเที่ยวชม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นอาชีพ
          3.  แนวพระราชดำริในด้านการจัดพื้นที่ทำกิน
          3.1  สร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กแล้ว จึงให้มีการขยายพื้นที่ทำกิน หรือจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรทั้งชาวไทยภูเขา และชาวไทยพื้นราบ
          3.2  จัดที่ทำกินให้ราษฎรแล้ว ยังต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งสิ่งแวดล้อม บริเวณใกล้เคียง เช่น มีการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม และการจัดน้ำบริโภค เป็นต้น
          3.3  ฝึกอาชีพให้ราษฎรสามารถช่วยตัวเองได้ และทำกินให้เป็นหลักแหล่ง เลิกตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น
          3.4  จัดระเบียบหมู่บ้านในรูปสหกรณ์ พร้อมทั้งทำการพัฒนาหมู่บ้านในลักษณะโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง เพื่อให้สามารถควบคุมราษฎร ไม่ให้บุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์
          3.5  จำแนกสมรรถนะของที่ดินให้เหมาะสม ที่ดินที่สามารถทำประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้ ก็ให้ใช้ทำเกษตรกรรม และพื้นที่ใดที่ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ ก็ให้มีการรักษาสภาพป่าไว้ โดยให้มีการปลูกป่าไม้ 3 ชนิด ได้แก่ ไม้สำหรับใช้สอย ไม้ผล และไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง
          4.  แนวพระราชดำริในด้านการพัฒนาวิจัยด้านป่าไม้
          4.1  ดำเนินการศึกษาวิจัยด้านป่าไม้  ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น
          4.2  ทำการศึกษาพัฒนาและวิจัยความสัมพันธ์ของป่าไม้กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ป่าไม้/ประมง ในพื้นที่ป่าชายเลน การพัฒนาด้านชลประทานเกี่ยวกับป่าไม้ โดยการจ่ายน้ำตามแหล่งน้ำในช่วงฤดูร้อน (แล้ง) เพื่อให้มีความชุ่มชื้น และทำให้ป่าต้นน้ำลำธารมีความชุ่มชื้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี และปลูกไม้พื้นล่างเสริมเพื่อช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำในฤดูฝน
          4.3  ศึกษาเกี่ยวกบการป้องกันไฟป่า โดยใช้ระบบเปียก (ความชื้น) เป็นต้น

แหล่งที่มา:http://www.rspg.or.th/special_articles/hm_king60/king_605.htm

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์

            การแบ่งภูมิภาคมีประโยชน์ช่วยให้สามารถเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นภายในกรอบของพื้นที่รวมทั้งหมด แต่การแบ่งภูมิภาคอาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นได้เนื่องจากการแบ่งนั้นกระทำได้หลายวิธีแล้วแต่วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ประโยชน์ และเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการแบ่งก็จะแตกต่างกันสุดแต่ว่าจะเป็นวิธีการของหน่วยงานใดหรือนักวิชาการสาขาใด สำหรับงานจัดทำอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ของราชบัณฑิตยสถานยึดถือตามการแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ การแบ่งดังกล่าวนี้ ได้อาศัยเกณฑ์ในด้านลักษณะภูมิประเทศเป็นสำคัญ แต่ก็ได้นำลักษณะทางด้านภูมิอากาศ วัฒนธรรมด้านเชื้อชาติ ภาษา และความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นมาเป็นส่วนประกอบในการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ได้แบ่งประเทศไทยออกเป็น ๖ ภูมิภาค คือ
          ๑. ภาคเหนือ มี ๙ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ ลำปาง ลำพูน และอุตรดิตถ์


          ๒. ภาคกลาง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร และอีก ๒๑ จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ ลพบุรี ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม



          ๓. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ๑๙ จังหวัด ได้แก่ หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี


          ๔. ภาคตะวันออก มี ๗ จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด



          ๕. ภาคตะวันตก มี ๕ จังหวัด ได้แก่ ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์


          ๖. ภาคใต้ มี ๑๔ จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต พัทลุง ตรัง ปัตตานี สงขลา สตูล นราธิวาส และยะลา




 
          นอกจากการแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ตามข้อเสนอของคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติแล้ว ยังมีหน่วยงานที่จัดแบ่งภูมิภาคของประเทศไทยที่สำคัญอีกหน่วยงานหนึ่งคือ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งได้แบ่งประเทศไทยออกเป็น ๖ ภาค และมีขอบเขตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้เหมือนกับภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ แต่ขอบเขตของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกแตกต่างไปจากภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ดังนี้
 –ภาคเหนือ มี ๑๗ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ ลำปาง ลำพูน ตาก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ และ อุทัยธานี
 

–ภาคกลาง มี ๙ จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
 

–ภาคตะวันออก มี ๙ จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา
สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
 

–ภาคตะวันตก มี ๘ จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม สมุทรสาคร
 สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์









































แหล่งที่มา  :  http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=1378

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กรมป่าไม้เผยไทยเหลือพื้นที่ป่าไม้ 102 ล้านไร่ ลงไว้เมื่อ 3 มีนาคม 2557

 


เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่กรมป่าไม้ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อธิบดีกรมป่าไม้ จัดแถลงข่าววันป่าไม้โลก ในวันที่ 21 มี.ค. นี้ โดยนายบุญชอบ กล่าวถึงสถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทยว่า กรมป่าไม้ ร่วมกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์กรมหาชน) หรือจีสด้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมแปลภาพถ่ายดาวเทียมเพิ่มเติมหลังจากสำรวจครั้งล่าสุดระหว่างปี 2551-2556 โดยในปี 2551 พบพื้นที่ป่าทั่วประเทศมี 107 ล้านไร่ ไม่รวมสวนยางและสวนผลไม้ แต่ในปี 2556-2557 พบว่าพื้นที่ป่าเหลือเพียง 102 ล้านไร่ นั่นหมายความว่าภายใน 5 ปี ป่าไม้หายไป 5 ล้านไร่ หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านไร่ โดยส่วนใหญ่มีลักษณะการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อต้องการพื้นที่เพื่อการเกษตรเป็นหลัก เพราะปัจจุบันไม้ใหญ่หรือไม้ซุงมีเหลืออยู่น้อยมาก
นายบุญชอบ กล่าวว่า สำหรับไม้ที่น่าเป็นห่วงมากในประเทศไทย คือ ไม้พะยูงที่พบว่ามีคดีเกิดขึ้นสูงมาก มีการจับกุมและลักลอบตัดทุกวัน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2556 จับกุมมากที่สุดในพื้นที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ถึง 343 คดี ผู้ต้องหา 183 ราย มีไม้ของกลาง 6,959 ท่อน หรือ 309.88 ลูกบาศก์เมตร ไม้แปรรูป 1,706 แผ่น สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 7 (ขอนแก่น) 303 คดี ผู้ต้องหา 122 รายไม้ของกลาง 6,910.00 ท่อน หรือ 297.05 ลูกบาศก์เมตร ไม้แปรรูป 2,859 แผ่น หรือ 91.56 ลูกบาศก์เมตรพื้นที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (นครพนม) 264 คดี ผู้ต้องหา 140 ราย ไม้ของกลาง 4,360 ท่อนหรือ139.59 ลูกบาศก์เมตร ไม้แปรรูป 6,793 แผ่นหรือ139.23 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) 229 คดี ผู้ต้องหา 88 ราย ไม้ของกลาง 2,193.00 ท่อนหรือ 100.63ลูกบาศก์เมตร ไม้แปรรูป 5,889.00 แผ่นหรือ 155.76 ลูกบาศก์เมตร และพื้นที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 7 สาขาอุบลราชธานี88 คดี ผู้ต้องหา 34 ราย ไม้กลางของ 2,508 ท่อนหรือ 83.33 ลูกบาศก์เมตรได้ไม้แปรรูป 909 แผ่นหรือ 22.09 ลูกบาศก์เมตร

 
“สาเหตุที่ลักลอบตัดกันมากเพราะเรื่องราคาเป็นหลัก โดยมีการปั่นราคาจากคิวละ 3 แสนบาท เป็นสูงถึง 1 ล้านบาท แม้ว่าไม้พะยูงจะไม่ใช่ไม้หวงห้าม การตัดตามหัวไร่ปลายนา หรือในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ภายในบ้านสามารถทำได้ แต่ปัญหาคือการลักลอบส่งไม้เหล่านี้ออกนอกประเทศ โดยล่าสุดกรมป่าไม้ได้รับการร้องเรียนจากเจ้าอาวาสหลายวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่ามีนายทุนมาติดต่อขอซื้อไม้พะยูงที่ขึ้นอยู่ในวัด หลายวัดมีไม้พะยูงมากกว่า 10 ต้นขึ้นไป จากข้อมูลพบว่า บางวัดตัดสินใจที่จะขายไม้พะยูงให้กับนายทุนไปแล้วในราคาต้นละ 1 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ยังพบว่าขบวนการซื้อขายไม้พะยูงยังติดสินบนกรรมการวัดและกรรมการหมู่บ้าน เพื่อขอให้วัดหรือหมู่บ้านอนุมัติให้ตัดไม้พะยูงไปขาย เพื่อนำเงินไปพัฒนาวัดหรือหมู่บ้าน”นายบุญชอบ กล่าว
นายบุญชอบ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมป่าไม้ดูแลไม้พะยูงของกลางทั่วประเทศ 5 พันคิว แต่หากรวมกับไม้พะยูงของกลางของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะมีทั้งหมด 2 หมื่นคิว เป็นมูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท แต่หากถูกส่งไปต่างประเทศราคาจะสูงขึ้นอีก 2-3 เท่า ขึ้นอยู่กับคุณภาพเนื้อไม้
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากคดีสิ้นสุดกรมป่าไม้จะจัดการอย่างไรกับไม้พะยูงของกลาง จะขายต่างประเทศในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจีซึ่งสามารถทำได้ตามกฎหมายของไซเตส นายบุญชอบ กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลในเวลานี้ยังไม่มีแนวคิดที่จะนำไม้ของกลางไปขาย ซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการจัดการไม้มีค่า โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธาน โดยหลักการให้นำไม้เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในประเทศ เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์หรือบำรุงรักษาวัด หรือสถานที่ราชการ เมื่อถามว่าวัดที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มนายทุนที่เข้าไปขอซื้อไม้พะยูงมีมากหรือไม่ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า มีหลายสิบวัด บางวัดมีต้นพะยูงจำนวนมาก ปลูกเป็นแปลงซึ่งมีนายทุนมาเจรจาขอซื้อ และวัดหลายแห่งต้องยอมขาย เพราะกลัวอิทธิพล และเป็นภาระเพราะต้องหาคนมาเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง โดยขณะนี้ตนได้ให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสำรวจวัดที่มีไม้พะยูงทั้งหมด

 
นายบุญชอบ กล่าวอีกว่า เร็ว ๆ นี้จะประสานกับ ปปง. ดำเนินการกับนายทุน เพราะกฎหมายของ ปปง. ในปี 2556 ด้านทรัพยากรเริ่มยึดทรัพย์ได้ ซึ่งขณะนี้กำลังตรวจสอบการจับกุมว่าจะยึดทรัพย์เป็นตัวอย่างได้หรือไม่ เช่น ใน จ.สมุทรสาคร ที่จับกุมไม้พะยูงในโกดังว่าเข้าข่ายอายัดทรัพย์ได้หรือไม่ นอกจากนี้จะประสานกับ กอ.รมน. เนื่องจากมีรายชื่อนายทุนที่ลักลอบค้าไม้พะยูงอยู่ในบัญชี เพราะการข่าวของกอ.รมน.ระบุชื่อชัดเจนว่าใครเป็นผู้ค้า
“มาตรการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูง การบังคับใช้กฎหมายก็ว่ากันไป แต่ในทางปฏิบัติอยากให้ใช้มาตรการด้านสังคมเข้ามาช่วยจะดีที่สุด เช่น ให้ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมกันประณามสำหรับคนที่ลักลอบตัดไม้พะยูง โดยในเรื่องนี้หลายพื้นที่ใน จ.อุบลราชธานี สามารถจับกุมผู้ต้องได้เพราะส่วนหนึ่งมาจากการชี้เบาะแสของชาวบ้าน เพราะที่นั่นจะหวงแหนไม้พะยูงเพราะเป็นไม้ประจำถิ่น แต่ในหลายพื้นที่ก็ออกมาต่อต้าน เช่น ในพื้นที่อุทยานฯ ปางสีดา จ.สระแก้ว มีการต่อต้านเจ้าหน้าที่เพราะเป็นการตัดรายได้มหาศาลของพวกเขา ทั้งนี้เคยไปคุยกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้อาวุโสว่าคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับไม้พะยูงไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือเจ้าหน้าที่จะมีจุดจบไม่สวยนัก แม้เรื่องนี้จะไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการ แต่เป็นความเชื่อและเกิดขึ้นจริงกับพวกที่เกี่ยวข้องกับไม้พะยูง”อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว.