วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรากฎการณ์ลานีญา

ลานีญา (La Niña : ภาษาสเปน) เป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางและตะวันออกมีค่าต่ำกว่าปกติ ทั้งนี้เนื่องจากลมค้า (trade wind) ตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดอยู่เป็นประจำในแปซิฟิกเขตร้อนทางซีกโลกใต้มีกำลังแรงกว่าปกติ จึงพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออก (บริเวณฝั่งเอกวาดอร์ เปรู และชิลีตอนเหนือ) ไปสะสมอยู่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตก (บริเวณชายฝั่งอินโดนีเซียและออสเตรเลีย) มากยิ่งขึ้น ทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกซึ่งมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเล และระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกอยู่แล้ว ยิ่งมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกมากยิ่งขึ้นอีก มีผลทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกมีปริมาณฝนมากขึ้น ขณะที่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกจะมีความแห้งแล้งรุนแรงมากขึ้นอีกเช่นกัน โดยปรากฏการณ์ลานีญานี้จะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 5 - 6 ปี /ครั้ง และแต่ละครั้งอาจกินเวลานานถึง 1 ปี




ปรากฏการณ์ลานีญา จะทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติ บริเวณที่ได้รับผลกระทบมากเมื่อเกิดปรากฎการณ์ลานีญา คือ ประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลียตอนเหนือ ฟิลิปปินส์ อินเดียตอนเหนือ ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา และด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ส่วนบริเวณที่ได้รับผลกระทบที่ทำให้มีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ คือ ประเทศชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ประเทศบราซิลตอนใต้ ถึงตอนกลางของประเทศอาร์เจนตินา สำหรับประเทศไทยนั้นผลกระทบขนาดรุนแรงที่มีต่อฝนและอุณหภูมิใน 3 ฤดู คือ

ในฤดูฝนปีที่เกิดลานีญา (มิ.ย. - ต.ค.) ฝนจะสูงกว่าปกติเว้นแต่ทางบริเวณของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีฝนอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ

ฤดูหนาวปลายปีที่เกิด - ต้นปีหลังเกิดลานีญา (พ.ย. - ก.พ.) ทั่วประเทศจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ สำหรับฝนในฤดูหนาวของประเทศตอนบนมีอุณหภูมิในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ เว้นแต่ตามบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกที่จะมีฝนสูงกว่าปกติ และฝนในภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งในครึ่งแรกของฤดู (พ.ย. - ธ.ค.) จะมีฝนสูงกว่าปกติ แต่ฝนจะลดลงในครึ่งหลังของฤดู (ม.ค. - ก.พ.) โดยอาจจะมีฝนอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ

ฤดูร้อนปีหลังเกิดลานีญา (มี.ค. - พ.ค.) ทั่วประเทศจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติทั่วประเทศ และจะมีฝนตกลงมาบ้าง อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปกติทั่วประเทศซึ่งจะทำให้อากาศไม่ร้อนมาก

ผลกระทบของปรากฏการณ์ของลานีญาต่อประเทศไทย คือ จะมีฝนในปริมาณที่สูงกว่าปกติซึ่งก็จะส่งผลต่อภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ได้ 

ที่มาข้อมูล : www.myfirstbrain.com


วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรากฎการณ์เอลนิโญ่ อาจกระทบน้ำในเขื่อนทางภาคเหนือ

ข้อมูลพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงาน ต่างประเทศ คาดว่า เกือบร้อยละ 80 จะเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ่ ในช่วงเดือนกันยายน 2557 ซึ่งอาจทำให้ฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยและเกิดปัญหาฝนทิ้งช่วง จนอาจจะทำให้น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นน้ำต้นทุนหลักในการทำเกษตรในภาคกลางเกิดวิกฤตไปจนถึงต้นปี 2558 ได้



แหล่งที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/ปรากฎการณ์เอลนิโญ่-อาจกระทบน้ำในเขื่อนทางภาคเหนือ

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ข้างขึ้นข้างแรม

ความหมายของข้างขึ้นข้างแรม
ข้างขึ้นข้างแรม (The Moon’s Phases) หมายถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่มองเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างแตกต่างกันไปบางคืนก็เสี้ยวเล็ก บางคืนสว่างเต็มดวง บางคืนก็มืดหมดทั้งดวง




สาเหตุการเกิดข้างขึ้นข้างแรม
สาเหตุของการเกิดข้างขึ้นข้างแรม เกิดจากดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ดังนั้น เมื่อมองดวงจันทร์จากบนโลก เราจึงเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างที่แตกต่างกันซึ่งการเปลี่ยนแปลง 1 รอบใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน



ข้างขึ้น
ข้างขึ้น (Waxing) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่าง คืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ โดยใช้ด้านสว่างของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แบ่งออกเป็น 15 ส่วน เริ่มจาก ขึ้น 1 ค่ำ จนถึง ขึ้น 15 ค่ำ



ข้างแรม
ข้างแรม (Waning) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนวันเพ็ญจนถึงคืนเดือนมืดอีกครั้ง โดยใช้ด้านมืดของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แล้วแบ่งออกเป็น 15 ส่วนโดยเริ่มจากแรม 1 ค่ำ จนถึง แรม 14-15 ค่ำ



คืนเดือนมืด
คืนเดือนมืด หรือ New Moon เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ อยู่หน้าดวงอาทิตย์ ในวันนี้ผู้สังเกตที่ด้านกลางคืนและด้านกลางวันบนโลก จะมองไม่เห็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกคืนเดือนมืด หรือ จันทร์ดับ



คืนเดือนเพ็ญ
วันเพ็ญหรือ Full Moon ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับดวงจันทร์พอดี ผู้สังเกตที่อยู่ด้านกลางวันจะไม่เห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้าเลย ในขณะที่ผู้ที่อยู่ด้านมืดจะเห็นดวงจันทร์นานที่สุดคือ ตั้งแต่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น จนถึง 6 โมงช้าของอีกวันหนึ่ง





แหล่งที่มา : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/199-00/

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เครื่องมือทางภูมิศาสตร์


“เครื่องมือทางภูมิศาสตร์”

ใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการรวบรวม วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพและสังคมของทวีป

ยุโรปและแอฟริกา

ในการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางด้านภูมิศาสตร์เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ นำเสนอข้อมูลได้ การ
ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพและสังคมของทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก หลายด้าน

เครื่องมือทางภูมิศาสตร์จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก

1. ประเภทของเครื่องมือทางภูมิศาสตร์
1.1 ลูกโลก (Glope)

ลูกโลกเป็นการย่อส่วนของโลกลงบนวัสดุต่าง ๆ มีลักษณะทรงกลม บนผิมีแผนที่โลกแสดงพื้นดิน พื้นน้ำ

สภาพภูมิประเทศ ที่ตั้งประเทศ เมือง พิกัดทางภูมิศาสตร์ รายชื่อสิ่งต่าง ๆ มีสัญลักษณ์แสดงลักษณะภูมิประเทศแบบเสมือน

จริง ลูกโลกให้ข้อมูลทางด้านกายภาพเป็นหลัก ช่วยให้ทราบตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ เมือง ลักษณะภูมิประเทศได้อย่าง

รวดเร็ว เพราะมองเห็นได้ง่าย


1.2 แผนที่เล่ม (Atlas)

แผนที่เล่มเป็นการนำแผนที่ประเภทต่าง ๆ รวบรวมมาอยู่ในเล่มเดียวกัน นิยมใช้กันมาก ข้อมูลมีการปรับ

เปลี่ยนให้ทันสมัย พกพาและใช้งานได้สะดวก โดยทั่วไปจะมีข้อมูลละเอียด บางเล่มให้ข้อมูลลึกมากไปจนถึงระดับเมือง ถ้า

เป็นแผนที่สำหรับเด็กจะดูง่าย มีภาพประกอบ ข้อมูลไม่ลึกมาก

แผนที่เล่มสามารถเลือกใช้งานได้หลายแบบมีทั้งให้ข้อมูลทั้งทวีปหรือแยกย่อยเป็นแต่ละทวีป แต่ละประเทศ

แผนที่เล่มมีความสะดวกในการใช้งาน แต่ต้องตรวจสอบระยะเวลาที่ผลิตออกมานาน ข้อมูลจะไม่ทันสมัย โดยเฉพาะข้อมูล

ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนข้อมูลทางกายภาพมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก


1.3 ภาพจากดาวเทียม (Satellite image)

ภาพจากดาวเทียม เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ที่นำมาใช้อย่างแพร่หลาย ใช้คอมพิวเตอร์ในการแปลง

สัญญาณข้อมูลดิจิทัลออกมาเป็นภาพ ซึ่งมีความคมชัดสูงมาก ทั้งแบบเหมือนจริง เช่นภาพลักษณะภูมิประเทศ ภาพพื้นที่

เกิดภัยธรรมชาติ ต้องมีการแปลความหมายของข้อมูลก่อน บางภาพไม่ได้แสดงเส้นอาณาเขต ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ตั้งทาง

ภูมิศาสตร์ ผู้ใช้งานจำเป็นต้องดูประกอบกับแผนที่และเครื่องมืออื่น ๆ ทางภูมิศาสตร์

1.4 เว็ปไซต์ (Webv site)
ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ที่เผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ตมีเป็จำนวนมาก โดยเฉพาะข้อมูลทางสถิติ เช่นรายได้

ประชาชาติของแต่ละประเทศ ความหนาแน่นของประชากร จำนวนพลเมือง มูลค่าของสินค้านำเข้า สินค้าส่งออก เป็นต้น

ในเว็ปไซต์มีทั้งที่เป็นภาพถ่ายและวีดีทัศน์ ที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องที่จะศึกษาได้ดียิ่งขึ้น

โปรแกรม google earth เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการศึกษาเนื้อหาและดูภาพได้ทั่วทุกมุมโลกจากดาวเทียม ซึ่งมี

ความละเอียดสูงมาก สามาครถขยายภาพจากโลกทั้งใบไปสู่ประเทศ และลงไปจนถึงถนน ตรอก วอย รถยนต์ อาคารบ้าน

เรือน สนามบิน ท่าเรือ เป็นต้น เป็นการท่องโลกแบบ 3 มิติ รวมทั้งปรับให้เป็น google map แสดงเส้นทาง

ต่าง ๆ ได้

1.5 เครื่องมืออื่น ๆ

มีสื่อต่าง ๆ ที่สามารถให้ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ได้มาก เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รวมทั้ง

สื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งเป็นเครื่องมือรายงานข่าว การวิเคราะห์ข่าว เช่นสถานการณ์ภัยแล้งในทวีปแอฟริกา สภาพ

อากาศในทวีปยุโรป การเกิดไฟไหม้ป่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่ต่องมีการตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย

เปรียบเทียบ

2. แนวทางการใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์

2.1 ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ

2.2 ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย

2.3 ตรวจสอบข้อมูล

2.4 ใช้เครื่องมือหลากหลายผสมกัน

3. การนำเสนอข้อมูลทางภูมิศาสตร์

3.1 แบบบรรยาย

3.2 แบบตาราง

3.3 แบบแผนภูมิ

3.4 แบบกราฟ

3.5 แบบแผนที่

แหล้งที่มา

https://docs.google.com/document/preview?hgd=1&id=1biTxHuHI-fiUrCZvCaEGEUnsPM1LyfL0BBahFt6y9XY