วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การเกิดดินถล่ม

ดินถล่มหรือโคลนถล่ม คือ

ดินถล่ม (Landslide or Mass movement) คือการเคลื่อนที่ของมวลดิน หรือหิน ลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก โดยปรกติ ดินถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่ “ น้ำ ” จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่มเสมอ โดยน้ำจะเป็นตัวลดแรงต้านทานในการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหิน และน้ำจะเป็นตัวที่ทำให้คุณสมบัติของดินที่เป็นของแข็งเปลี่ยนไปเป็นของไหลได้

ดินถล่ม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดได้ทั่วไปในบริเวณภูเขาที่มีความลาดชันสูง อย่างไรก็ตาม ในบริเวณที่มีความลาดชันต่ำก็สามารถเกิดดินถล่มได้ถ้ามีปัจจัยที่ก่อให้เกิดดินถล่ม โดยทั่วไปบริเวณที่มักจะเกิดดินถล่ม คือ บริเวณที่ใกล้กับแนวรอยเลื่อนที่มีพลังและมีการยกตัวของแผ่นดินขึ้นเป็นภูเขาสูง บริเวณที่ทางน้ำกัดเซาะเป็นโตรกเขาลึกและชัน บริเวณที่มีแนวรอยแตกและรอยแยกหนาแน่นบนลาดเขา บริเวณที่มีการผุพังของหินและทำให้เกิดชั้นดินหนาบนลาดเขา ในบริเวณที่มีความลาดชันต่ำและมีดินที่เกิดจากการผุพังของชั้นหินบนลาดเขาหนา ดินถล่มมักเกิดจากการที่น้ำซึมลงในชั้นดินบนลาดเขาและเกิดแรงดันของน้ำเพิ่มขึ้นในชั้นดินโดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกหนัก ( วรวุฒิ, 2548)

 

การจำแนกชนิดของดินถล่ม

เกณฑ์ในการจำแนกชนิดของดินถล่ม และการพังทลายของลาดเขา มีหลายอย่าง เช่น ความเร็วและกลไกในการเคลื่อนที่ ชนิดของตะกอน รูปร่างของรอยดินถล่ม และปริมาณของน้ำที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการดินถล่ม การจำแนกชนิดของดินถล่มที่ใช้กันแพร่หลายได้แก่การจำแนกโดย Varnes, 1975 ซึ่งอาศัยหลักการจำแนก ชนิดของของวัสดุที่พังทลายลงมา ( Type of material ) และลักษณะการเคลื่อนที่ ( Type of movement )ระเภทของดินถล่มจำแนกตามลักษณะการเคลื่อนที่ของวัตถุที่พังทลายลงมา ได้แก่
•  การร่วงหล่น ( Falls) เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วลงมาตามลาดเขาหรือหน้าผาสูงชัน โดยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก อาจเกิดการตกอย่างอิสระ หรือมีการกลิ้งลงมาตามลาดเขาร่วมด้วย โดยมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นตะกอนดินหรือหินที่พังทลายลงมาจะกองสะสมกันอยู่บริเวณเชิงเขาหรือหน้าผานั้นเอง ถ้าเป็นหน้าผาหินและตะกอนที่ตกลงมาส่วนมากเป็นหิน เรียกว่า “Rock fall” (รูปที่ 1 และ 2 ) ส่วนถ้าเป็นหน้าผาดินและตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดหยาบ เรียกว่า “Debris fall” และถ้าตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดละเอียด เรียกว่า “Earth fall”
รูปที่ 1 รูปแบบจำลองลักษณะของ Rock fall ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 2 หินถล่มที่บ้านห้วยส้มไฟ อ.เมือง จ.กระบี่ ผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 1 ราย
•  การล้มคว่ำ ( Topples) เป็นการเคลื่อนที่โดยมีการหมุน หรือล้มคว่ำลงมาตาม ลาดเขา มักพบว่าเกิดเชิงหน้าผาดินหรือหินที่มีรอยแตกรอยแยกมาก โดยกระบวนการเกิดดินถล่มมี น้ำเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง (รูปที่ 3 และ 4 )
รูปที่ 3 รูปแบบจำลองลักษณะของ Topples ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 4 ลักษณะของ Topples ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
  การลื่นไถล ( Slides) การเกิดดินถล่มชนิดนี้มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ สามารถ จำแนกตามลักษณะของระนาบการเคลื่อนที่ ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- Rotational slide เป็นการลื่นไถล ของวัตถุลงมาตามระนาบของการเคลื่อนที่ที่มีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมคล้ายช้อน ( Spoon-shaped ) ทำให้มีการหมุนตัวของวัตถุขณะเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่จะเป็นไปอย่างช้าๆ(รูปที่ 5 และ 6 ) ซึ่งลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นในบริเวณที่ดินมีความเป็นเนื้อเดียวกัน ( Homogeneous material ) เช่น บริเวณที่ชั้นดินหนามาก หรือ ดินที่นำมาถม เป็นต้น
- Translational slide เป็นการลื่นไถลลงมาตามระนาบการเคลื่อนที่มีลักษณะค่อนข้างตรง ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนที่ตามระนาบของโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น ตามระนาบรอย แตก ( joint ) ระนาบทิศทางการวางตัวของชั้นหิน ( bed ) รอยต่อระหว่างชั้นดินและหิน (รูปที่ 7 และ 8)
รูปที่ 5 รูปแบบจำลองลักษณะของ Rotational slide
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 6 ลักษณะของ Rotational slide ที่บ้านน้ำพิ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน
เส้นสีแดงแสดงขอบเขตแนวที่เกิดการ slide เส้นสีน้ำเงินแสดงทิศทางการ slide (ภาพถ่ายโดย ประดิษฐ์ นูเล)
รูปที่ 7 รูปแบบจำลองลักษณะของ Translational slide
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 8 ลักษณะของ Translational slide ที่อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
ซึ่งเกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะบริเวณตีนของลาดเขา (ภาพถ่ายโดย ประดิษฐ์ นูเล)
  การแผ่ออกทางด้านข้าง ( Lateral spread ) ส่วนใหญ่จะเกิดบนพื้นราบ หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันน้อย โดยชั้นดินจะประกอบด้วยตะกอนขนาดละเอียดมาก การเกิดส่วนมากเกี่ยวข้องกับกระบวนการ liquefaction เมื่อชั้นตะกอนละเอียดที่อิ่มตัวด้วยน้ำมีพฤติกรรมเหมือนของไหลเนื่องจากอิทธิพลของแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว หรือจากการที่มีหินหรือดินที่แข็งและไม่อุ้มน้ำวางตัวทับอยู่บนชั้นดินที่อุ้มน้ำ เมื่อชั้นดินที่อุ้มน้ำถูกทับด้วยน้ำหนักที่มากก็จะไหลออกด้านข้าง ทำให้ชั้นดิน ชั้นหินที่อยู่ด้านบนแตกออกและยุบตัว (รูปที่ 9 และ10 )
รูปที่ 9 รูปแบบจำลองลักษณะของ Lateral spread
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 10 ลักษณะของ Lateral spread ที่เกิดขึ้นบนถนนในประเทศสหรัฐอเมริกา สาเหตุจากแผ่นดินไหว
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
•  การไหล (Flows) กระบวนการเกิดดินถล่มมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด น้ำทำให้ ตะกอนมีลักษณะเป็นของไหลและเคลื่อนที่ไปบนพื้นระนาบลาดเขา ลงไปกองทับถมกันที่ช่วงล่างของ ลาดเขาหรือเชิงเขา ตะกอนอาจเคลื่อนที่ไปได้เป็นระยะทางไกล และความเร็วในการเคลื่อนที่อาจสูงมาก ถ้าลาดเขามีความชันสูง ดินถล่มชนิดนี้ยังแบ่งตามชนิดของตะกอนได้เป็น 5 ชนิด คือ
•  Debris flow ตะกอนที่ไหลลงมาจะมีหลายขนาดปะปนกันทั้งตะกอนดิน หินและซากต้นไม้ และมักเกิดขึ้น ตามทางน้ำเดิมที่มีอยู่แล้วหรือบนร่องเล็ก ๆ บนลาดเขา โดยมีน้ำซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงฤดูฝนของแต่ละพื้นที่ เป็นตัวกลางพัดพาเอาตะกอนดินและหิน รวมถึงซากต้นไม้ ต้นหญ้าไหลมารวมกัน ก่อนที่จะไหลลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขาในลักษณะของเนินตะกอนรูปพัดหน้าหุบเขา (รูปที่ 11 และ 12 )
รูปที่ 11 รูปแบบจำลองลักษณะของ Debris flow ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 12 ลักษณะของ Debris flow ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเวเนซูเอลา เมื่อปี ค.ศ. 1999
ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30,000 คน ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
•  Debris avalanche เป็นการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาของมวลดินที่ประกอบด้วยตะกอนหลายขนาดปนกันและมีขนาดร่องรอยของดินถล่มที่ใหญ่ บางแห่งขนาดความกว้างมากกว่า 3 กิโลเมตร (L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008) (รูปที่ 13 และ 14 )
รูปที่ 13 รูปแบบจำลองลักษณะของ Debris avalanche
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 14 ลักษณะของ Debris avalanche ที่เกิดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี คศ. 2006
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
•  Earth flow เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินที่ประกอบด้วยตะกอนขนาดละเอียดจำพวกดินเหนียว ดินทรายแป้ง ตามพื้นที่ที่มีความลาดชันไม่มากนัก (รูปที่ 15 และ 16 )
รูปที่ 15 รูปแบบจำลองลักษณะของ Earth flow ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 16 ลักษณะของ Earth flow ที่เกิดขึ้นที่ประเทศแคนนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1993 บริเวณที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ
( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
  Mud flow มีกระบวนการเกิดเช่นเดียวกับ Debris flow แตกต่างกันที่ขนาดของตะกอนแบบ Mud flow จะมีขนาดเล็กกว่าตะกอน Debris flow คือประกอบไปด้วยตะกอนดิน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ (อาจสูงถึงร้อยละ 60)
•  Soil creep ( Slow Earthflow) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินอย่างช้า เนื่องจากกระบวนการสูญเสียแรงต้านทานการไหล ของชั้นดิน ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันให้ชั้นดินมีการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แต่ไม่ มากพอที่จะทำให้เกิดการพังทลายของมวลดิน ซึ่งหลักฐานที่ใช้ในการสังเกตุ คือแนวรั้วหรือกำแพง และหรือต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณนั้นมีการเอียงตัวหรือบิดเบี้ยวไปจากเดิม (รูปที่ 17 และ 18)
รูปที่ 17 รูปแบบจำลองลักษณะของ Soil creep ( คัดลอกจาก L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
รูปที่ 18 ลักษณะของ Soil creep สังเกตได้จากช่วงแรกต้นไม้มีการเอียงตัวแต่หลังจากนั้นยอดของต้นไม้
มีการกลับไปตั้งตรงอีกครั้งแสดงว่าดินบริเวณนี้หยุดการคืบตัวแล้ว
ชนิดของดินถล่ม และปัจจัยการเกิดดินถล่ม

ชนิดของดินถล่มที่พบในประเทศไทย

จากการศึกษาการแผ่กระจายของรอยดินถล่ม ในพื้นที่ที่เคยเกิดดินถล่มในประเทศไทยส่วนใหญ่ พบว่ารอยของดินถล่มมีลักษณะเกิดร่วมกันได้หลายแบบ และมักเกิดตามทางน้ำเดิมที่มีอยู่แล้วหรือบนร่องเล็ก ๆ บนลาดเขาที่น้ำมักไหลมารวมกันเมื่อมีฝนตก และมีความลาดชันสูงมากกว่า ร้อยละ 30 (วรวุฒิ, 2535 ) และเมื่อพิจารณาเฉพาะจุดบนภูเขาสูงพบว่าบริเวณที่ชั้นดินหนาส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ Debris avalanche และ Rotational slide ส่วนบริเวณที่ชั้นดินบางจะเป็นแบบ Translational slide เป็นส่วนใหญ่ และจากการที่ดินถล่มในประเทศไทยเกิดร่วมกับการที่มีฝนตกเป็นปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นชนิดของรอยดินถล่มโดยภาพรวม จึงเป็นแบบ Flows เป็นส่วนใหญ่ ตะกอนดินทราย ที่พังทลายเนื่องจากดินถล่ม ก็จะถูกพัดพาโดยน้ำ ออกจากที่เกิดการถล่มลงไปสู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะไหลลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขาในลักษณะของเนินตะกอนรูปพัดหน้าหุบเขา ซึ่งเป็นรูปแบบของ Debris flow

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รู้จักกับ ลมมรสุม พายุหมุน และร่องความกดอากาศต่ำ

ลมมรสุม (Monsoon)

            ทุกคนคงจะเคยได้ยินติดหูกันมาบ้าง ในสมัยวัยเยาว์ (แต่ตอนนี้ก็ยังเยาว์อยู่เหมือนกันนะครับ) ว่าลมมรสุม คือลมประจำฤดู ของไทย เกิดขึ้นเพราะอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระหว่างมวลอากาศเขตพื้นดินกับพื้นน้ำ ในแต่ละฤดูกาล จึงเกิดการไหลเวียนของอากาศ ระหว่างพื้นน้ำกับพื้นดิน ลมมรสุมนี้ มีกำลังอ่อนบ้างแรงบ้าง ขึ้นอยู่กับแนวร่องความกดอากาศต่ำ
           
             ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ประเทศไทย ในระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงต้นเดือนตุลาคม หอบเอาความชื้นจากทะเล มาปะทะแนวเขา เกิดเป็นฝนตกชุกในแถบภาคใต้ฝั่งอันมัน พัดผ่านไทยขึ้นเหนือสู่ประเทศจีนต่อไป
           
              ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดจากแถบไซบีเรียและจีน ในระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ พาอากาศแห้งและเย็น ลงมาปกคลุมตอนเหนือถึงตอนกลาง ของประเทศไทย แล้วหอบเอาความชื้นในไทย ไปตกเป็นฝนในแถบภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย แต่ฝนจะน้อยลงมาก ในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์


พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone)

พายุหมุนเขตร้อน หมายถึง พายุที่เกิดขึ้น เหนือมหาสมุทร ในเขตร้อน (ละติจูดต่ำ หรือ ใกล้เส้นศูนย์สูตร) เนื่องจากกระบวนการ ถ่ายเทพลังงาน ของอากาศชื้น เหนือมหาสมุทร เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักจะเคลื่อนตัวไปตามกระแสลมรอบข้าง อาจมีกำลังแรงขึ้น หรืออ่อนลง ตามแต่ลักษณะอากาศ ที่เคลื่อนผ่านไป แต่เมื่อเคลื่อนเข้าสู่แผ่นดิน จะอ่อนกำลังลง เพราะไม่มีพลังงานจากไอน้ำ มาเสริมกำลังต่อ
ปัจจุบัน เราแบ่งพายุหมุนเขตร้อน ออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดับความรุนแรง โดยวัดจากความเร็วลม ณ ศูนย์กลางพายุเป็นหลัก ดังนี้
พายุดีเปรสชั่น
(Tropical Depression)
มีความเร็วลมไม่เกิน 63 km/h (ประมาณ 17 m/s) มองจากดาวเทียม จะเห็นเป็นกลุ่มเมฆ หนาทึบ เป็นวงกลม ยังไม่มีแนวขดเป็นเกลียว หรือ ตาพายุ ชัดเจน
พายุโซนร้อน
(Tropical Storm)
มีความเร็วลมสูงกว่า ดีเปรสชั่น แต่ไม่เกิน 118 km/h (ประมาณ 32 m/s) จากภาพถ่ายดาวเทียม อาจเริ่มเห็นเกลียวแขนของกลุ่มเมฆบ้าง พายุระดับนี้ จะได้รับการกำหนดชื่อให้ โดยหน่วยงานด้านอุตุนิยมวยานานาชาติ (ยกเว้นประเทศฟิลิปปินส์ จะเริ่มตั้งชื่อพายุที่เข้ามาในเขตประเทศ ตั้งแต่ยังเป็น ดีเปรสชั่น)
พายุระดับรุนแรงที่สุดเรียกกันง่ายๆ ว่า Tropical Cyclone (เพียงเพื่อให้แตกต่างจากพายุ 2 กลุ่มแรก เท่านั้น) แต่จะมีชื่อเรียกหลากหลายชื่อ ตามแต่พื้นที่ที่เกิดพายุ เช่น ในแถบแปซิฟิค เรียกว่า ไต้ฝุ่น (Typhoon) แถบอเมริกากลาง เรียกว่า เฮอร์ริเคน (Hurricane) แถบมหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า ไซโคลน (Cyclone) ส่วนในแถบมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ออสเตรเลีย เรียกว่า วิลลี่ วิลลี่ (Willi Willi) พายุระดับนี้มักจะเกิด "ตาพายุ" ขึ้นตรงใจกลาง ซึ่งเป็นบริเวณที่อากาศ มีความกดน้อยที่สุด และลมในบริเวณนั้น ค่อนข้างสงบนิ่ง อาจมีขนาดตาพายุตั้งแต่ 16 - 80 km เลยทีเดียว
 
               นอกจากนี้ ในแถบอื่นของโลก ซึ่งโดนพายุหมุน ระดับที่รุนแรงมากกว่านี้ ยังมีการจัดระดับเพิ่มเติมอีกจนถึงระดับ Super Typhoon ซึ่งมีความเร็วลมสูงกว่า 239 km/h เลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่ประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตที่โดนพายุหมุน น้อยที่สุด ในบรรดา ประเทศเขตร้อน ที่มีพายุหมุนทั้งหมดครับ (ถ้าอ่านจากชื่อไทย และชื่ออังกฤษ อาจจะดูสับสนเล็กน้อย เพราะ Tropical ก็แปลว่า เขตร้อน แต่เราเรียกเฉพาะ Tropical Storm ว่าพายุโซนร้อน ในขณะที่ Storm แปลว่า พายุ ส่วน Depression แปลว่า ความกดอากาศต่ำ แต่เราเรียกว่า "พายุ" ทั้งคู่)
                 
                พายุที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย มาได้จาก 2 ทาง คือ จากอ่าวเบงกอล เข้าสู่ภาคตะวันตกของประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม แต่มีจำนวนน้อยกว่าอีกทางหนึ่ง คือพายุที่เกิดขึ้น ในมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทางตะวันออก ซึ่งเกิดได้ตั้งแต่ ช่วงเดือนมิถุนายน ถึงธันวาคม และแนวที่พายุเคลื่อนเข้า ก็จะสอดคล้องกับ แนวร่องความกดอากาศต่ำ ที่พาดผ่านในแต่ละช่วงเดือนนั่นเอง ตามสถิติโดยกรมอุตุฯ เดือนที่มีพายุเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุด (ดูที่ศูนย์กลางพายุเป็นหลัก) คือ เดือนตุลาคม รองลงมาคือ เดือนกันยายน

 

 

ร่องความกดอากาศต่ำ

              เป็นคำที่ได้ยินผู้ประกาศข่าวพูดถึงอยู่เสมอ แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักกับมันเท่าไหร่นัก แต่เจ้าสิ่งนี้ กลับทำให้เกิดอะไรๆ กับภูมิอากาศบ้านเราได้มากมาย ขออธิบายลักษณะของมันสั้นๆ ว่า ร่องความกดอากาศต่ำ ก็คือ แนวของมวลอากาศ ที่มีความหนาแน่นต่ำ (มีอุณหภูมิสูง) เกิดขึ้นตามธรรมชาติของอากาศ ที่ได้รับพลังงาน จากดวงอาทิตย์ และมีมวลอากาศ ที่มีความกดสูงกว่า (ความหนาแน่นมากกว่า) กระจายอยู่รอบแนว 2 ด้าน ร่องความกดอากาศต่ำ มักจะเกิดในแนว ตะวันออก-ตะวันตก เป็นหลัก (เพราะเป็นแนวที่โลกหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์) อาจจะมีเฉียงเหนือหรือใต้ เล็กน้อย ตามฤดูกาล และกำลังของลมอื่นๆ ที่มากระทบ เช่น ลมมรสุม เป็นต้น

               เมื่อมี ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน มวลอากาศความกดสูงกว่า ที่อยู่รอบๆ ก็จะเคลื่อนเข้ามา พบกัน ในแนวนี้ เมื่อไม่มีที่ ให้พาอากาศ ไปไหนต่อ แต่มีปริมาณมากพอ ก็รวมตัว ตกลงมาเป็นฝน นั่นเอง

               นอกจากนี้ ร่องความกดอากาศต่ำ ก็จะทำหน้าที่ เป็นทางเดิน ให้กับพายุหมุนเขตร้อน ที่เกิดขึ้นทางทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย จึงพบว่า พายุหมุนส่วนใหญ่ จะเคลื่อนที่ เข้าสู่ประเทศไทย ตามแนว ร่องความกดอากาศต่ำนี้




               ดังนั้น การเคลื่อนตัวของ ร่องความกดอากาศต่ำ ในแต่ละช่วงของปี จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยให้เรา คาดคะเนสภาพอากาศดีร้าย ได้ล่วงหน้าระดับหนึ่ง และสามารถวางแผน เลือกสถานที่ท่องเที่ยว ได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
               ปกติ ร่องความกดอากาศต่ำ จะพาดผ่านประเทศไทย ตั้งแต่ เดือนเมษายน ถึง เดือนธันวาคม แต่จะส่งผล ให้เกิดฝนตกชุกจริง ก็ตั้งแต่ ช่วงพฤษภาคม เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ เคลื่อนมาถึง ตอนกลาง ของประเทศ และเมื่อถึง เดือนมิถุนายน ก็ไปพาดเอา แถวตอนเหนือ ของประเทศไทย แล้วหายไปอยู่ ทางตอนเหนือสุด ของเวียดนาม และทางใต้ ของจีน พักหนึ่ง ราวเดือนกรกฎาคม ก่อนจะเริ่มเคลื่อน กลับเข้าสู่ ประเทศไทย อีกครั้ง ในระหว่างเดือน สิงหาคม ถึง เดือนธันวาคม ไล่ลงจากเหนือมาใต้ ตามลำดับ





                 พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทย มีฝนตกชุก ในช่วงเดือน พฤษภาคม ถึง เดือนตุลาคม โดยทิ้งช่วงไปพักหนึ่ง ราวเดือนกรกฎาคม และกลับมาตกชุก จนถึงตกหนัก อีกครั้ง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นไป แต่คราวนี้ หากมีพายุหมุนเขตร้อน เฉียดเข้ามาใกล้ หรือเคลื่อนเข้ามาด้วย ก็จะทำให้มีฝนตกหนัก ถึงหนักมาก หรือเกิดความเสียหาย ต่อชีวิต และทรัพย์สินได้


           
                 นอกจาก 3 สิ่งนี้แล้ว ก็ยังมีช่วงเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน ที่ลมตะเภา หรือลมว่าว ซึ่งพัดมาจากทิศใต้ หรือตะวันออกเฉียงใต้ อาจปะทะเข้ากับ มวลอากาศเย็น จากประเทศจีน ที่บังเอิญหลงทาง ในบางโอกาส ทำให้เกิดเป็น "พายุฤดูร้อน" มีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง หรือมีลูกเห็บตกลงมาด้วย ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้น ทางตอนเหนือของประเทศ



แหล่งที่มา : http://www.freedomdive.com/th/tip/weather_wind

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แม่น้ำสายสำคัญของประเทศไทย











แม่น้ำสายสำคัญของประเทศไทย

ภาคเหนือ


แม่น้ำปิง : มีต้นกำเนิดจากยอดน้ำถ้วย บนเทือกเขาแดนลาว ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ไหลผ่านลงไปทางใต้ผ่านจังหวัดลำพูนแล้วไหลไปบรรจบกับแม่น้ำวงที่บ้านปากวัง จังหวัดตาก แม่น้ำปิงมีความยาวจาก ต้นน้ำถึงนครสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดรวมกับแม่น้ำ 3 สาย กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีความยาว 600 กม.

แม่น้ำวัง : มีต้นกำเนิดจากบริเวณทางตอนเหนือของ น้ำตก

วังแก้วบนทิวเขา ผีปันน้ำในเขตอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ไหลทางใต้ผ่านจังหวัดตาก ไปรวมกับแม่น้ำปิงที่บริเวณชายฝั่ง เหนือบ้านปากวังจังหวัดตาก

แม่น้ำวังมีความยาวประมาณ 300 กิโลเมตร

แม่น้ำยม : มีต้นกำเนิดจากดอยชุมยวม 2 ซึ่งอยู่ทิศใต้ของทิวเขาแดนลาว ในเขตอำเภอปง จังหวัดเชียงราย ไหลผ่านไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านจังหวัดแพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร แล้วไปรวมกับแม่น้ำน่านที่บ้านเกยชัย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แม่น้ำยม มีความยาวประมาณ 550 กิโลเมตร

แม่น้ำน่าน : มีต้นกำเนิดจากทิวเขาหลวงพระบางด้านทิศตะวันตกในเขตตำบลปอเกลือเหนือ อำเภอบัว จังหวัดน่าน ไหลไปทางทิศเหนือแล้วไปหักทางใต้

ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร แล้วไปรวมกับแม่น้ำยม ก่อนที่จะไปรวมกับแม่น้ำปิง และวัง ที่ตำบลแควใหญ่ จังหวัดนครสวรรค์ แม่น้ำน่านมีความยาวประมาณ 740 กิโลเมตร

แม่น้ำน่าน มีเขื่อนเอนกประสงค์กั้นถึง 2 แห่ง คือ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก






ภาคกลาง
แม่น้ำเจ้าพระยา : เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ปากน้ำโพ และตำบลแควใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ไหลผ่านทางนครสวรรค์ลงมาผ่าน จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร แล้วไหลไปออกทะเลอ่าวไทยที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า และตำบลท้ายบ้าน จังหวัดสมุทรปราการ แม่น้ำเจ้าพระยามีความยาวตั้งแต่นครสวรรค์ถึงปากอ่าวไทย มีความยาวประมาณ 360 กิโลเมตร

แม่น้ำเจ้าพระยา มีเขื่อนกั้นน้ำชื่อเขื่อนชัยนาท หรือเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทเพื่อกักเก็บน้ำใช้สำหรับการชลประทาน

แม่น้ำท่าจีน : เป็นแม่น้ำที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่อยู่ ตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และตำบลหาดท่าเสา จังหวัดชัยนาทแล้วไหลผ่านทางใต้โดยจะมีชื่อเรียกต่างๆ กันไป ตามแต่จังหวัดที่ผ่าน เช่น

- ผ่านตอนใต้ของจังหวัดชัยนาทจะถูกเรียกว่าแม่น้ำมะขามเฒ่า

- เมื่อผ่าจังหวัดสุพรรณบุรีจะถูกเรียกว่าแม่น้ำสุพรรณบุรี

- เมื่อเข้าเขตจังหวัดนครปฐมจะถูกเรียนว่าแม่น้ำนครชัยศรี

- และเมื่อออกสู่อ่าวไทย ที่จังหวัดสมุทรสาคร จะถูกเรียกว่าแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำท่าจีน มีความยาวประมาณ 300 กิโลเมตร

แม่น้ำแม่กลอง : เป็นแม่น้ำที่เกิดจากการรวมกันของแม่น้ำแควใหญ่

( ต้นกำเนิดจาก เขาคอสินสะทรีกับเขาในเขตอำเภออุ้มผาง ) และแม่น้ำแควน้อยที่บริเวณตำบลปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแม่น้ำที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่นกันคือ

- จากบริเวณต้นน้ำมาจนถึงจุดรวมกับแม่น้ำแควน้อย จะถูกเรียกว่าแม่น้ำแควใหญ่

หรือแม่น้ำศรีสวัสดิ์

- บริเวณที่ไหลผ่านจังหวัดราชบุรี จะถูกเรียกว่า แม่น้ำราชบุรี

- บริเวณที่ไหลลงสู่อ่าวไทยที่อำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดสมุทรสงครามจะถูกเรียกว่า แม่น้ำแม่กลอง

แม่น้ำแม่กลองมีเชื่อมอเนกประสงค์ กั้นถึง 4 เขื่อนคือ เขื่อนเขาแหลม เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา และเขื่อนวชิราลงกรณ์ ความยาวของแม่น้ำท่าจีนจนถึงสมุทรสงครามนี้มีความยาวประมาณ 520 กิโลเมตร

แม่น้ำบางปะกง : ต้นน้ำเกิดจากการรวมกันของแม่น้ำหนุมานและแม่น้ำปรง

ที่จังหวัดปราจีนบุรี จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันดังนี้

- บริเวณที่ผ่านจังหวัดปราจีนจะถูกเรียกว่าแม่น้ำปราจีนบุรี

- บริเวณที่ผ่านทางจังหวัดฉะเชิงเทรา จะถูกเรียกว่า แม่น้ำแปดริ้ว

- บริเวณที่ไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอบางปะกงกับอำเภอเมืองจังหวัดชลบุรีแม่น้ำบางปะกงมีความยาวประมาณ 230 กิโลเมตร

แม่น้ำป่าสัก : มีต้นกำเนิดจากจังหวัดเลยไหลผ่านจังหวัดลพบุรี สระบุรี

และอยุธยา มีความยาวถึง 500 กิโลเมตร

  

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แม่น้ำมูล : แหล่ง กำเนิดของต้นน้ำอยู่ที่เขาวง กับเขาละมั่งในเขตอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ แล้วไปรวมกับแม่น้ำชี และไหลออกสู่แม่น้ำโขง ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำมูล มีความยาวประมาณ 641 กิโลเมตร

แม่น้ำชี : มี ต้นน้ำที่เขาพญาป่อ ในเขตอำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ แล้วไหลผ่าน ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธรแล้วไปรวมกับแม่น้ำมูลที่เส้นแบ่ง เขตอำเภอเขื่องใน กับอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีความยาวประมาณ 765 กิโลเมตร

แม่น้ำสงคราม : มี ต้นกำเนิดที่เกิดจากการรวมกันของสาขาลำน้ำที่เกิดจากเทือกเขาพูพาน ไหลผ่านอุดรธานี สกลนคร หนองคาย แล้วไหลออกสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอท่าอุเทนจังหวัดนครพนม แม่น้ำสงคราม มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 420 กิโลเมตร


ภาคใต้
แม่น้ำคีรีรัฐ หรือ แม่น้ำพุมดวง : มีต้นกำเนิดระหว่างเขานมสาวกับเขาสก ( ส่วนหนึ่งของทิวเขาภูเก็ต ) ไหลไปทางทิศตะวันออกแล้วหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วย้อนไปทางทิศตะวันออกอีกครั้ง แล้วไปรวมกับแม่น้ำตาปี

ที่อำเภอพุนพิน แม่น้ำคีรีรัฐ มีความยาวประมาณ 120 กิโลเมตร

แม่น้ำตาปี : มีต้นกำเนิดจากเขาใหญ่ยอดต่ำ ซึ่งอยู่ในอำเภอทุ่งใหญ่

จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วไหลไปทางทิศเหนือ เพื่อไปรวมกับแม่น้ำคีรีรัฐ

จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้นเอง

แม่น้ำตาปีมีความยาวประมาณ 232 กิโลเมตร

แม่น้ำตาปีจะถูกเรียกว่า แม่น้ำหลวง ในช่วงจากต้นน้ำ ถึง จุดที่มารวม

กับแม่น้ำคีรีรัฐ และจะถูกเรียกว่าแม่น้ำบ้านดอนในช่วงจากจุดที่บรรจบกับแม่น้ำคีรีรัฐ จนจุดที่ไหลออกสู่อ่าวไทย

แม่น้ำหลังสวน : มีต้นกำเนิดจากทิวเขาภูเก็ต บริเวณเส้นแบ่งเขตจังหวัดชุมพร แล้วไหลออกสู่อ่าวไทยที่บริเวณอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรนั้นเอง แม่น้ำหลังสวนมีความยาว 100 กิโลเมตร

แม่น้ำตรัง : มีต้นกำเนิดที่ทิวเขานครศรีธรรมราช ในอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลเข้าเขตตรัง ไปออกสู่ทะเลที่ช่องมะระกาที่อำเภอกันตัง แม่น้ำตังมีความยาวประมาณ 175 กิโลเมตร

ที่มา : http://www.tantee.net/board/user/top...2&bid=1&sid=27

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โครงสร้างภายในโลก (เปลือกโลก-แมนเทิล-แกนโลก)

โครงสร้างภายในโลก (เปลือกโลก-แมนเทิล-แกนโลก)
Earth’s Internal Structure (Crust – Mantle – Core)
 
 
 
โครงสร้างภายในโลก:การศึกษาธรณีแปรสัณฐาน (Tectonics) มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างภายในโลก ตัวอย่างที่ใช้ได้ดีเกี่ยวกับโครงสร้างของโลกคือการเปรียบโลกของเราเหมือนกับผลไม้ที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ เช่น ลูกท้อ หรือ ผลพลัม ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะรู้จักผลไม้เหล่านี้และรู้ดีว่าลักษณะตอนมันถูกผ่าครึ่งเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นมาตราส่วนขนาดของแต่ละส่วนก็คล้ายกับโครงสร้างโลกด้วย
ถ้าเราผ่าครึ่งผลไม้เราจะเห็นส่วนประกอบภายใน 3 ส่วน คือ
1. เปลือกผิวบางๆ
2. เมล็ดที่อยู่แกนกลาง
3. เนื้อผลไม้
เช่นกันเมื่อเราผ่าโลกออกครึ่งหนึ่ง เราก็จะเห็น
1.เปลือกโลกชั้นบางด้านนอกสุด
2.แกนโลกขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงแกนกลาง
3. ชั้นแมนเทิลที่ประกอบเป็นเนื้อโลก

 


 
 
เปลือกโลก (Earth’s Crust)
เปลือกโลกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ  เปลือกโลกภาคพื้นมหาสมุทรชั้นบางที่วางตัวอยู่ใต้มหาสมุทรและเปลือกโลกภาคพื้นทวีปชั้นหนาที่วางตัวเป็นแผ่นทวีป เปลือกโลกทั้งสองมีส่วนประกอบที่ต่างกัน โดยเปลือกโลกภาคพื้นมหาสมุทรมีส่วนประกอบหลักเป็นหินบะซอลต์ (basalt) ส่วนเปลือกโลกภาคพื้นทวีปมีส่วนประกอบหลักเป็นหินแกรนิต (granite) การที่เปลือกโลกภาคพื้นทวีปมีความหนาแน่นต่ำทำให้เปลือกโลกภาคพื้นทวีปลอยอยู่เหนือชั้นแมนเทิลที่มีความหนาแน่นสูงกว่าที่วางตัวอยู่ข้างใต้
 
 
 

 
 
ชั้นแมนเทิล (Earth’s Mantle)
ชั้นแมนเทิลมีส่วนประกอบหลักเป็นหินที่มีปริมาณแร่โอลิวีนสูง ( olivine-rich rock ) อุณหภูมิของชั้นแมนเทิลมีความแตกต่างกันตามความลึก ซึ่งบริเวณที่ติดกับเปลือกโลกจะมีอุณหภูมิต่ำและเพิ่มขึ้นตามความลึก อุณหภูมิสูงสุดพบบริเวณที่ติดกับแกนโลกที่ให้ความร้อน (heat-producing core) การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิตามความลึกอย่างคงที่เรียกว่า ” geotherrmal gradient” ซึ่ง geothermal gradient มีค่าขึ้นอยู่กับชนิดหินแต่ละชนิดและหินแต่ละส่วนของชั้นแมนเทิลที่แบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนบน (upper mantle) และส่วนล่าง (lower mantle) หินในชั้นแมนเทิลส่วนบนมีอุณหภูมิต่ำและค่อนข้างเปราะ ในขณะที่หินในชั้นแมนเทิลส่วนล่างมีอุณหภูมิสูงและค่อนข้างอ่อน (แต่ไม่หลอม) หินในชั้นแมนเทิลส่วนบนมีความเปราะมากพอที่จะแตกเมื่อมีแรงมากระทำและก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ อย่างไรก็ตามหินในชั้นแมนเทิลมีความอ่อนและสามารถไหลได้เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะที่มีแรงมากระทำ แมนเทิลชั้นบนและล่างแบ่งโดยบริเวณที่มีลักษณะความเปราะที่น้อยที่สุด
 
 
 
 
 

แกนโลก (Earth’s Core)
ส่วนประกอบหลักๆ ของแกนโลกคือโลหะผสมระหว่างเหล็กและนิเกิล (iron-nickel alloys) ซึ่งเป็นสัณนิษฐานที่ได้จากการคำนวณความหนาแน่นและความจริงที่ว่าอุกกาบาตทั้งหลายที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากโครงสร้างข้างในดาวเคราะห์ประกอบด้วยโลหะผสมเหล็กนิเกิล แกนโลกเป็นแหล่งกำเนิดความร้อนเนื่องจากประกอบด้วยวัสดุกัมมันตภาพรังสี (radioactive meterial) ที่ซึ่งปลดปล่อยความร้อนออกมาจากการแตกตัวเพื่อเข้าสู่สถานะที่เสถียรกว่า
แกนโลกแบ่งเป็นสองส่วน คือแกนโลกชั้นนอก (outer core) มีสถานะเป็นของเหลวเนื่องจากอุณหภูมิที่สะสมเพื่อหลอมโลหะผสมเหล็กนิเกิล และแกนโลกชั้นใน (inner core) มีสถานะเป็นของแข็งถึงแม้ว่าจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าแกนโลกชั้นนอกแต่เนื่องจากความกดดันที่สูงมากจากน้ำหนักของหินที่ปิดทับอยู่ด้านบนที่มากพอที่จะทำให้อะตอมมีการจับตัวกันอย่างแน่นหนาทำให้ไม่เกิดสถานะของเหลว





แหล่งที่มา :  http://www.geothai.net/core-mantle-crust/




วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รายงานภัยพิบัติประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2557

เหตุการณ์วันนี้
08:15 ญี่ปุ่นออกคำเตือนสีแดงในเกาะคิวชิวและชิโกกุ ผลจากการเข้าใกล้ของพายุโซนร้อนนากรี แม้ไม่ผ่านญปีุ่่นโดยตรง ล่าสุดนากรีมุ่งตรงไปทางทะเลเหลือง


06:32 ภาพดาวเทียมในแสงธรรมชาติของไต้ฝุ่นฮาลอง ไต้ฝุ่นลูกที่ 5 ของปีนี้ ทิศทางมุ่งไปโอกินาวา


01:00 เกิดพายุลูกเห็บในเมือง Zuera จังหวัด Zaragoza แคว้นอารากอน ประเทศสเปน 
Bt9tNb2IAAEW4Cp

00:01 พายุโซนร้อนฮาลองยกระดับเป็นไต้ฝุ่นแล้วในเวลานี้ ปรากฏตาพายุชัดเจนในภาพดาวเทียมแบบ RGB


แผ่นดินไหวทั่วโลก ขนาดใหญ่กว่า M4.0 เป็นต้นไปจาก EMSC (วัดขนาดต่ำกว่า 4.0 ได้เฉพาะในบริเวณยุโรปและใกล้เคียง)


06:24 แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.2 [mb] บริเวณ เทือกเขาฮินดูคุซ ประเทศอัฟกานิสถาน ที่ความลึก 103 กม.
04:25 แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.9 [mb] บริเวณ ทางทิศใต้ของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ความลึก 53 กม.

02:44 แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.2 บริเวณ NORWEGIAN SEA ที่ความลึก 2 กม.

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรากฎการณ์ลานีญา

ลานีญา (La Niña : ภาษาสเปน) เป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางและตะวันออกมีค่าต่ำกว่าปกติ ทั้งนี้เนื่องจากลมค้า (trade wind) ตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดอยู่เป็นประจำในแปซิฟิกเขตร้อนทางซีกโลกใต้มีกำลังแรงกว่าปกติ จึงพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออก (บริเวณฝั่งเอกวาดอร์ เปรู และชิลีตอนเหนือ) ไปสะสมอยู่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตก (บริเวณชายฝั่งอินโดนีเซียและออสเตรเลีย) มากยิ่งขึ้น ทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกซึ่งมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเล และระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกอยู่แล้ว ยิ่งมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกมากยิ่งขึ้นอีก มีผลทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกมีปริมาณฝนมากขึ้น ขณะที่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกจะมีความแห้งแล้งรุนแรงมากขึ้นอีกเช่นกัน โดยปรากฏการณ์ลานีญานี้จะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 5 - 6 ปี /ครั้ง และแต่ละครั้งอาจกินเวลานานถึง 1 ปี




ปรากฏการณ์ลานีญา จะทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติ บริเวณที่ได้รับผลกระทบมากเมื่อเกิดปรากฎการณ์ลานีญา คือ ประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลียตอนเหนือ ฟิลิปปินส์ อินเดียตอนเหนือ ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา และด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ส่วนบริเวณที่ได้รับผลกระทบที่ทำให้มีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ คือ ประเทศชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ประเทศบราซิลตอนใต้ ถึงตอนกลางของประเทศอาร์เจนตินา สำหรับประเทศไทยนั้นผลกระทบขนาดรุนแรงที่มีต่อฝนและอุณหภูมิใน 3 ฤดู คือ

ในฤดูฝนปีที่เกิดลานีญา (มิ.ย. - ต.ค.) ฝนจะสูงกว่าปกติเว้นแต่ทางบริเวณของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีฝนอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ

ฤดูหนาวปลายปีที่เกิด - ต้นปีหลังเกิดลานีญา (พ.ย. - ก.พ.) ทั่วประเทศจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ สำหรับฝนในฤดูหนาวของประเทศตอนบนมีอุณหภูมิในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ เว้นแต่ตามบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกที่จะมีฝนสูงกว่าปกติ และฝนในภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งในครึ่งแรกของฤดู (พ.ย. - ธ.ค.) จะมีฝนสูงกว่าปกติ แต่ฝนจะลดลงในครึ่งหลังของฤดู (ม.ค. - ก.พ.) โดยอาจจะมีฝนอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ

ฤดูร้อนปีหลังเกิดลานีญา (มี.ค. - พ.ค.) ทั่วประเทศจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติทั่วประเทศ และจะมีฝนตกลงมาบ้าง อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปกติทั่วประเทศซึ่งจะทำให้อากาศไม่ร้อนมาก

ผลกระทบของปรากฏการณ์ของลานีญาต่อประเทศไทย คือ จะมีฝนในปริมาณที่สูงกว่าปกติซึ่งก็จะส่งผลต่อภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ได้ 

ที่มาข้อมูล : www.myfirstbrain.com


วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรากฎการณ์เอลนิโญ่ อาจกระทบน้ำในเขื่อนทางภาคเหนือ

ข้อมูลพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงาน ต่างประเทศ คาดว่า เกือบร้อยละ 80 จะเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ่ ในช่วงเดือนกันยายน 2557 ซึ่งอาจทำให้ฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยและเกิดปัญหาฝนทิ้งช่วง จนอาจจะทำให้น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นน้ำต้นทุนหลักในการทำเกษตรในภาคกลางเกิดวิกฤตไปจนถึงต้นปี 2558 ได้



แหล่งที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/ปรากฎการณ์เอลนิโญ่-อาจกระทบน้ำในเขื่อนทางภาคเหนือ

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ข้างขึ้นข้างแรม

ความหมายของข้างขึ้นข้างแรม
ข้างขึ้นข้างแรม (The Moon’s Phases) หมายถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่มองเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างแตกต่างกันไปบางคืนก็เสี้ยวเล็ก บางคืนสว่างเต็มดวง บางคืนก็มืดหมดทั้งดวง




สาเหตุการเกิดข้างขึ้นข้างแรม
สาเหตุของการเกิดข้างขึ้นข้างแรม เกิดจากดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ดังนั้น เมื่อมองดวงจันทร์จากบนโลก เราจึงเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างที่แตกต่างกันซึ่งการเปลี่ยนแปลง 1 รอบใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน



ข้างขึ้น
ข้างขึ้น (Waxing) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่าง คืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ โดยใช้ด้านสว่างของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แบ่งออกเป็น 15 ส่วน เริ่มจาก ขึ้น 1 ค่ำ จนถึง ขึ้น 15 ค่ำ



ข้างแรม
ข้างแรม (Waning) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนวันเพ็ญจนถึงคืนเดือนมืดอีกครั้ง โดยใช้ด้านมืดของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แล้วแบ่งออกเป็น 15 ส่วนโดยเริ่มจากแรม 1 ค่ำ จนถึง แรม 14-15 ค่ำ



คืนเดือนมืด
คืนเดือนมืด หรือ New Moon เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ อยู่หน้าดวงอาทิตย์ ในวันนี้ผู้สังเกตที่ด้านกลางคืนและด้านกลางวันบนโลก จะมองไม่เห็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกคืนเดือนมืด หรือ จันทร์ดับ



คืนเดือนเพ็ญ
วันเพ็ญหรือ Full Moon ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับดวงจันทร์พอดี ผู้สังเกตที่อยู่ด้านกลางวันจะไม่เห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้าเลย ในขณะที่ผู้ที่อยู่ด้านมืดจะเห็นดวงจันทร์นานที่สุดคือ ตั้งแต่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น จนถึง 6 โมงช้าของอีกวันหนึ่ง





แหล่งที่มา : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/199-00/